Porter คือ อะไร? ความหมายและความสำคัญในโลกธุรกิจ

ในโลกของธุรกิจและการตลาด คำว่า "Porter" อาจจะดูไม่คุ้นเคยสำหรับบางคน แต่จริง ๆ แล้วมันมีความสำคัญอย่างมากในด้านการวิเคราะห์และกลยุทธ์ทางธุรกิจ คำว่า "Porter" ส่วนใหญ่จะหมายถึง Michael E. Porter ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักยุทธศาสตร์ทางธุรกิจชื่อดังที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีและกรอบการวิเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

Michael E. Porter เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้คิดค้นโมเดล "Five Forces" ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินการแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โมเดลนี้เน้นถึงการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการแข่งขันและการทำกำไรในตลาด ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์คู่แข่ง, ผู้เข้ามาใหม่, การแข่งขันจากสินค้าและบริการทดแทน, การต่อรองของผู้จัดจำหน่าย, และการต่อรองของลูกค้า

นอกจากนี้ Porter ยังเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึ่งเป็นแนวทางในการวางแผนกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและรักษาความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้อย่างยั่งยืน การเข้าใจทฤษฎีของ Porter จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ

ทำความรู้จักกับ Porter

Porter คือ เครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งพัฒนาโดย Michael E. Porter ศาสตราจารย์แห่ง Harvard Business School โดย Porter ได้เสนอแนวคิดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจความสามารถในการแข่งขันของตนเองและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปหนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดของ Porter คือ "Five Forces Model" หรือ "โมเดลห้ากำลัง" ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรม โมเดลนี้ประกอบด้วย:การแข่งขันระหว่างผู้เล่นในอุตสาหกรรม: การวิเคราะห์ระดับความรุนแรงของการแข่งขันที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันอำนาจการเจรจาต่อรองของลูกค้า: การพิจารณาว่าลูกค้าสามารถมีอิทธิพลต่อราคาและคุณภาพของสินค้าและบริการได้มากน้อยเพียงใดอำนาจการเจรจาต่อรองของผู้จัดหาวัตถุดิบ: การวิเคราะห์อิทธิพลที่ผู้จัดหาวัตถุดิบมีต่อราคาและคุณภาพของสินค้าหรือบริการภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน: การตรวจสอบความเป็นไปได้ที่สินค้าหรือบริการอื่น ๆ อาจเข้ามาแทนที่สินค้าของคุณภัยคุกคามจากผู้เข้ามาใหม่: การวิเคราะห์ระดับความง่ายหรือความยากที่ผู้ประกอบการใหม่จะเข้ามาในอุตสาหกรรมอีกแนวคิดที่สำคัญของ Porter คือ "Value Chain Analysis" หรือ "การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า" ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยให้บริษัทสามารถระบุและวิเคราะห์กิจกรรมต่าง ๆ ที่เพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน และหาโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำความเข้าใจแนวคิดของ Porter ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องได้อย่างเหมาะสม

บทบาทของ Porter ในธุรกิจและอุตสาหกรรม

ไมเคิล พอร์เตอร์ (Michael Porter) เป็นนักวิชาการด้านการจัดการและกลยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งผลงานของเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจหนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของพอร์เตอร์คือ "Five Forces Model" หรือ โมเดลแรงกดดันห้าประการ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรม โมเดลนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการและนักวิเคราะห์สามารถประเมินความท้าทายและโอกาสที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างชัดเจน โดยพอร์เตอร์ระบุถึงปัจจัยห้าประการที่ส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบไปด้วย:ความเข้มข้นของการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม: การวิเคราะห์ระดับการแข่งขันระหว่างบริษัทที่มีอยู่ในตลาดเดียวกันอำนาจการเจรจาต่อรองของผู้จัดหาวัตถุดิบ: ความสามารถของผู้จัดหาวัตถุดิบในการกำหนดราคาหรือเงื่อนไขต่างๆอำนาจการเจรจาต่อรองของลูกค้า: ความสามารถของลูกค้าในการต่อรองราคาและคุณภาพสินค้าหรือบริการอันตรายจากการเข้าสู่ตลาดใหม่: ความง่ายหรือความยากในการเข้าสู่ตลาดใหม่สำหรับบริษัทใหม่อันตรายจากสินค้าทดแทน: ความสามารถของสินค้าและบริการอื่นๆ ที่สามารถทดแทนหรือแทนที่สินค้าหรือบริการของบริษัทนอกจากนี้ พอร์เตอร์ยังได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ "Value Chain Analysis" หรือ การวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการพิจารณาแต่ละขั้นตอนของกระบวนการธุรกิจ เพื่อให้สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพการประยุกต์ใช้แนวคิดของพอร์เตอร์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้อย่างชัดเจน และพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นในตลาดบทบาทของไมเคิล พอร์เตอร์ในวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาได้สร้างเครื่องมือและแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความสำเร็จในระยะยาว

เครื่องมือ Porter ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด

เครื่องมือ Porter เป็นชุดของเครื่องมือที่พัฒนาโดย Michael E. Porter นักเศรษฐศาสตร์และนักกลยุทธ์ชื่อดัง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตลาดและกลยุทธ์ทางธุรกิจ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าใจการแข่งขันในตลาดและพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจหนึ่งในเครื่องมือหลักที่ Porter แนะนำคือ "โมเดลห้าปัจจัย" (Five Forces Model) ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยสำคัญห้าประการที่ส่งผลต่อระดับการแข่งขันในตลาด:ความสามารถในการแข่งขันระหว่างผู้เล่นในตลาด (Industry Rivalry): การวิเคราะห์ความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาด เช่น จำนวนคู่แข่ง, การแข่งขันด้านราคา และความหลากหลายของสินค้าและบริการภัยคุกคามจากผู้เข้ามาใหม่ (Threat of New Entrants): การประเมินอุปสรรคในการเข้าตลาดสำหรับผู้เล่นใหม่ เช่น ความยากง่ายในการเข้าถึงทรัพยากรหรือการลงทุนในเทคโนโลยีอำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Buyers): การวิเคราะห์อำนาจของลูกค้าที่มีต่อการตั้งราคาและคุณภาพของสินค้าและบริการ เช่น ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเออร์อำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers): การพิจารณาถึงอำนาจของซัพพลายเออร์ในการกำหนดราคาหรือคุณภาพของวัตถุดิบและบริการ เช่น จำนวนซัพพลายเออร์ที่มีอยู่ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitutes): การประเมินความเสี่ยงจากสินค้าหรือบริการที่สามารถทดแทนสินค้าและบริการหลักของธุรกิจได้ เช่น เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถให้ประโยชน์ที่คล้ายคลึงกันการใช้เครื่องมือ Porter ในการวิเคราะห์ตลาดช่วยให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการแข่งขันและสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพื่อให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จในระยะยาว

ประโยชน์ของการใช้ Porter ในการวางกลยุทธ์

การใช้เครื่องมือของ Michael Porter ในการวางกลยุทธ์มีประโยชน์มากมายที่สามารถช่วยองค์กรในการเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้จัดการสามารถวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมและตลาด เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้นและการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม

ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการของ Porter องค์กรสามารถประเมินตำแหน่งของตนในตลาด และพัฒนากลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังสามารถรับรู้และตอบสนองต่อความท้าทายจากคู่แข่งและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที

ข้อดีหลักของการใช้ Porter ในการวางกลยุทธ์

  • การวิเคราะห์การแข่งขัน: การใช้โมเดลของ Porter เช่น การวิเคราะห์ 5 Forces ช่วยให้เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการกำหนดราคาและกำไร
  • การวางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ: ด้วยการใช้เครื่องมือของ Porter องค์กรสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและความท้าทายที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน: การวิเคราะห์อุตสาหกรรมและคู่แข่งช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด
  • การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม: การเข้าใจปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อธุรกิจช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้

สรุปได้ว่า การใช้ Porter ในการวางกลยุทธ์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการตัดสินใจที่ดีขึ้นในการบริหารจัดการองค์กร การนำหลักการของ Porter มาประยุกต์ใช้ช่วยให้สามารถวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความท้าทายทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม