Capm คืออะไร? ความหมายและคำตอบ

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีและการเงินได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจในเรื่องของ CAPM (Capital Asset Pricing Model) จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจในการวิเคราะห์การลงทุน

CAPM เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุน ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โมเดลนี้มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง ซึ่งช่วยในการคาดการณ์ผลตอบแทนที่ควรได้รับตามระดับความเสี่ยงของสินทรัพย์

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ CAPM อย่างละเอียด เรียนรู้วิธีการคำนวณและวิธีการนำไปใช้ในสถานการณ์จริง เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจมากขึ้น

CAPM คืออะไรและทำไมถึงสำคัญ?

CAPM (Capital Asset Pricing Model) หรือ "โมเดลการกำหนดราคาในตลาดทุน" เป็นเครื่องมือที่สำคัญในด้านการเงินและการลงทุนที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและการคาดการณ์ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ โมเดลนี้ถูกพัฒนาโดย William Sharpe ในปี 1964 และถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในโลกการเงินCAPM ใช้ในการคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนโดยการพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนดังกล่าว เทียบกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดโดยรวม โมเดลนี้นำเสนอสูตรที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถคำนวณอัตราผลตอบแทนที่ต้องการเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์สูตรของ CAPM คือ:Ri=Rf+βi(Rm−Rf)R_i = R_f + \beta_i ( R_m – R_f )Ri​=Rf​+βi​(Rm​−Rf​)โดยที่:RiR_iRi​ คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนRfR_fRf​ คือ อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงβi\beta_iβi​ คือ ความเสี่ยงที่สัมพันธ์กับตลาดของสินทรัพย์RmR_mRm​ คือ อัตราผลตอบแทนของตลาดCAPM เป็นเครื่องมือที่สำคัญเพราะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดีขึ้นโดยการคำนวณความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวัง นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานในการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์และการจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม การเข้าใจ CAPM จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและวางกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการคำนวณ CAPM อย่างละเอียด

การคำนวณ CAPM (Capital Asset Pricing Model) เป็นวิธีการที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ในการคำนวณ CAPM เราจะต้องใช้สูตร CAPM ดังนี้:

สูตร CAPM:

ค่าผลตอบแทนที่คาดหวัง = อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง + เบต้า × (อัตราผลตอบแทนของตลาด – อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง)

ขั้นตอนการคำนวณ:

  1. กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง: ค่าผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-Free Rate) คืออัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง เช่น พันธบัตรรัฐบาล
  2. หาค่าเบต้า: เบต้า (Beta) คือการวัดความเสี่ยงของสินทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดทั้งหมด ค่าเบต้า 1 หมายถึงสินทรัพย์มีความเสี่ยงเท่ากับตลาด ค่าเบต้ามากกว่า 1 หมายถึงสินทรัพย์มีความเสี่ยงมากกว่าตลาด
  3. กำหนดอัตราผลตอบแทนของตลาด: อัตราผลตอบแทนของตลาด (Market Return) คืออัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้รับจากการลงทุนในตลาดหุ้น
  4. แทนค่าลงในสูตร: นำค่าที่กำหนดในขั้นตอนก่อนหน้าไปแทนในสูตร CAPM เพื่อคำนวณค่าผลตอบแทนที่คาดหวัง

ตัวอย่าง:

สมมุติว่า:

  • อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง = 3%
  • ค่าเบต้า = 1.2
  • อัตราผลตอบแทนของตลาด = 8%

การคำนวณจะเป็น:

ค่าผลตอบแทนที่คาดหวัง = 3% + 1.2 × (8% – 3%) = 3% + 1.2 × 5% = 3% + 6% = 9%

ดังนั้น ผลตอบแทนที่คาดหวังจากสินทรัพย์คือ 9% ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Capm ในการตัดสินใจลงทุน

การใช้ CAPM (Capital Asset Pricing Model) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุน โดยการวิเคราะห์และคาดการณ์ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง CAPM มีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

ข้อดีของการใช้ CAPM

  • การประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน: CAPM ช่วยให้การประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนมีความชัดเจน โดยการคำนวณผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากสินทรัพย์นั้นๆ ด้วยการวัดความเสี่ยงของสินทรัพย์เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดรวม
  • การเปรียบเทียบการลงทุน: CAPM ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยการใช้ผลตอบแทนที่คาดหวังเทียบกับอัตราผลตอบแทนไร้ความเสี่ยง (Risk-Free Rate)
  • การกำหนดราคาที่เหมาะสม: CAPM ใช้ในการกำหนดราคาของสินทรัพย์ตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลพื้นฐาน

ข้อเสียของการใช้ CAPM

  • ข้อสมมติฐานที่ไม่เป็นจริง: CAPM อาศัยสมมติฐานหลายข้อ เช่น ตลาดมีประสิทธิภาพสมบูรณ์และนักลงทุนมีข้อมูลครบถ้วน ซึ่งในความเป็นจริงอาจไม่ตรงตามข้อสมมติฐานเหล่านี้
  • การคำนวณที่ซับซ้อน: การใช้ CAPM ต้องการข้อมูลจำนวนมากและการคำนวณที่ซับซ้อน ทำให้อาจมีความผิดพลาดในการคำนวณหรือการใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
  • ไม่สามารถคาดการณ์ความผันผวนได้: CAPM ไม่สามารถคาดการณ์ความผันผวนของสินทรัพย์ในระยะสั้นได้ดีเท่าที่ควร ทำให้การตัดสินใจลงทุนอาจไม่แม่นยำในบางกรณี

การใช้ CAPM ในการตัดสินใจลงทุนมีข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรพิจารณาให้ดี เพื่อให้การตัดสินใจลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นจริง

ตัวอย่างการใช้ CAPM ในโลกธุรกิจจริง

การใช้โมเดล CAPM (Capital Asset Pricing Model) เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในโลกธุรกิจเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุนและการจัดการพอร์ตการลงทุน โมเดลนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถประเมินอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังได้ตามระดับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจที่สำคัญในด้านการลงทุนและการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการใช้ CAPM ในโลกธุรกิจจริงได้แก่การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนในหุ้นหรือโครงการต่างๆ โดยการคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน และการเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่า ควรลงทุนหรือไม่

ตัวอย่างการใช้งาน CAPM

  • การตัดสินใจลงทุนในหุ้น: บริษัทสามารถใช้ CAPM เพื่อประเมินอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่น และเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของหุ้นนั้นๆ โดยใช้ค่าเบต้า (Beta) เพื่อคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง
  • การจัดการพอร์ตการลงทุน: นักลงทุนสามารถใช้ CAPM เพื่อจัดสรรทรัพยากรในพอร์ตการลงทุน โดยเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
  • การประเมินโครงการลงทุน: บริษัทสามารถใช้ CAPM เพื่อคำนวณอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากโครงการลงทุนใหม่ และเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการ เพื่อพิจารณาว่าโครงการนั้นมีความคุ้มค่าหรือไม่

ในสรุป การใช้ CAPM เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการตัดสินใจลงทุนและการจัดการพอร์ตการลงทุนในโลกธุรกิจจริง โมเดลนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนและผู้จัดการสามารถประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจมากขึ้น