Likert Scales คืออะไร? ทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดความพึงพอใจ

การวิจัยและการสำรวจข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจความคิดเห็นและพฤติกรรมของผู้คน และหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณคือ Likert scale หรือมาตรวัดลิเคิร์ต ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยในการประเมินความคิดเห็นหรือระดับความเห็นที่มีต่อคำถามหรือหัวข้อต่างๆ

Likert scale คือ การใช้ช่วงคะแนนเพื่อแสดงระดับความเห็นหรือความพอใจของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยทั่วไปแล้วจะประกอบไปด้วยตัวเลือกหลายระดับ ตั้งแต่ "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ถึง "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ซึ่งช่วยให้ผู้ตอบสามารถเลือกได้ตามความรู้สึกหรือความคิดเห็นของตนเอง

เครื่องมือนี้ถูกนำมาใช้ในหลากหลายบริบท เช่น การสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า การวัดความพอใจในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการประเมินคุณภาพการศึกษา ด้วยความสามารถในการให้ข้อมูลที่หลากหลายและละเอียดอ่อน จึงไม่แปลกใจที่ Likert scale ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการวิจัยและการสำรวจ

Likert Scales คืออะไร: คู่มือเบื้องต้น

Likert Scale เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความคิดเห็นหรือความพอใจของบุคคลต่อเรื่องหนึ่ง ๆ โดยการให้คะแนนในรูปแบบของระดับความเห็นที่มีหลายระดับ ตัวอย่างเช่น การให้คะแนนจาก 1 ถึง 5 หรือ 1 ถึง 7 ซึ่งสามารถช่วยในการประเมินความคิดเห็นและทัศนคติของคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพใน Likert Scale จะมีคำถามหรือคำกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการวัด และผู้ตอบจะต้องเลือกตัวเลือกที่สะท้อนถึงความคิดเห็นของตน เช่น "เห็นด้วยมากที่สุด," "เห็นด้วย," "ไม่เห็นด้วย," หรือ "เห็นด้วยน้อยที่สุด" ขึ้นอยู่กับจำนวนระดับที่กำหนดข้อดีของการใช้ Likert Scale คือช่วยให้การรวบรวมข้อมูลเป็นระเบียบและเป็นมาตรฐาน ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้ง่ายและมีความแม่นยำสูง นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า หรือการประเมินผลในหลาย ๆ ด้านได้อีกด้วยโดยสรุปแล้ว Likert Scale เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวัดความคิดเห็นและทัศนคติของบุคคล ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้ในการวิจัยหรือสำรวจในหลากหลายสาขา

ความหมายและประวัติของ Likert Scales

Likert scales เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความคิดเห็นหรือทัศนคติของบุคคลต่อข้อกำหนดหรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วจะประกอบไปด้วยชุดของข้อคำถามที่ผู้ตอบต้องเลือกคำตอบจากหลายระดับที่มีความหมายตั้งแต่ "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ไปจนถึง "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ระบบนี้ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเก็บข้อมูลที่สะท้อนความรู้สึกหรือความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างได้อย่างละเอียดคำว่า "Likert scale" มาจากชื่อของ Rensis Likert นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและแนะนำเครื่องมือนี้ในปี 1932 Likert ต้องการหาเครื่องมือที่สามารถวัดความคิดเห็นของคนในทางที่เป็นระบบและมีความน่าเชื่อถือสูง เพื่อใช้ในการศึกษาทางสังคมและพฤติกรรมLikert scale ถูกนำมาใช้ในหลากหลายสาขา เช่น การวิจัยทางการตลาด การศึกษา และการวิเคราะห์องค์กร ซึ่งสามารถช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของลูกค้า นักเรียน หรือพนักงานต่อผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรได้อย่างแม่นยำการใช้ Likert scale มีหลายรูปแบบ เช่น การใช้ระดับ 5 จุดที่ประกอบด้วย "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง," "ไม่เห็นด้วย," "เป็นกลาง," "เห็นด้วย," และ "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" หรือระดับ 7 จุดที่มีความละเอียดมากขึ้น รูปแบบที่ใช้จะขึ้นอยู่กับลักษณะของการศึกษาและความต้องการของผู้วิจัยการประยุกต์ใช้ Likert scales มีข้อดีหลายประการ เช่น ความสะดวกในการใช้ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ง่าย และการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคิดเห็นหรือทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถาม อย่างไรก็ตาม การออกแบบคำถามและการเลือกระดับคะแนนต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดเบือนผลลัพธ์หรือความลำเอียงของข้อมูลด้วยการพัฒนาและประยุกต์ใช้ Likert scales อย่างกว้างขวาง ทำให้เครื่องมือนี้ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญและได้รับการยอมรับในงานวิจัยและการวัดความคิดเห็นในปัจจุบัน

วิธีการสร้างและใช้งาน Likert Scales

การใช้ Likert Scales เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเก็บข้อมูลความคิดเห็นและความรู้สึกของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยเฉพาะในงานวิจัยและการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ นี่คือวิธีการสร้างและใช้งาน Likert Scales อย่างมีประสิทธิภาพ:กำหนดวัตถุประสงค์ของการสำรวจก่อนที่จะสร้าง Likert Scale คุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการสำรวจอย่างชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าคำถามที่สร้างขึ้นจะสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์นั้นได้อย่างเหมาะสมออกแบบคำถามสร้างคำถามที่มีความชัดเจนและเจาะจง คำถามควรเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่คุณต้องการสำรวจ และควรหลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่เป็นกลางหรือมีความกำกวมกำหนดระดับการตอบLikert Scale มักจะมีระดับการตอบตั้งแต่ 5 ถึง 7 ระดับ เช่น "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง", "ไม่เห็นด้วย", "เป็นกลาง", "เห็นด้วย", และ "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" การเลือกจำนวนระดับขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะของข้อมูลที่ต้องการเก็บจัดเตรียมแบบสอบถามรวมคำถามทั้งหมดลงในแบบสอบถาม โดยใช้ Likert Scale ที่ออกแบบไว้ การใช้แบบสอบถามออนไลน์หรือกระดาษขึ้นอยู่กับความสะดวกและจำนวนผู้ตอบทดสอบและปรับปรุงก่อนนำแบบสอบถามไปใช้จริง ควรทำการทดสอบเพื่อดูว่าคำถามและระดับการตอบของ Likert Scale เข้าใจง่ายและตอบสนองความต้องการของการสำรวจหรือไม่ การทดสอบนี้อาจจะทำได้โดยการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างเล็กๆรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลหลังจากเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามแล้ว คุณจะต้องทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์ การวิเคราะห์ Likert Scale สามารถทำได้โดยการใช้สถิติพื้นฐาน เช่น การคำนวณค่าเฉลี่ยและการกระจายของการตอบรับ เพื่อประเมินความคิดเห็นและทัศนคติของผู้ตอบรายงานผลลัพธ์สรุปและรายงานผลลัพธ์ของการสำรวจในรูปแบบที่เข้าใจง่าย พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลและข้อเสนอแนะแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจหรือการปรับปรุงที่ต้องการการใช้ Likert Scales อย่างถูกต้องและมีระเบียบจะช่วยให้การเก็บข้อมูลความคิดเห็นมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การออกแบบและการใช้งาน Likert Scales อย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำวิจัยหรือการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ

ข้อดีและข้อเสียของ Likert Scales ในการสำรวจความคิดเห็น

Likert scales เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการสำรวจความคิดเห็นและวัดทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถาม เครื่องมือนี้มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาในการออกแบบการสำรวจความคิดเห็น

ข้อดีของ Likert Scales

  1. การวัดที่ตรงไปตรงมา: Likert scales ให้ผู้ตอบเลือกความเห็นจากตัวเลือกที่ชัดเจน เช่น "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ถึง "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง" ซึ่งช่วยให้การวัดทัศนคติเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและเข้าใจง่าย

  2. ความสะดวกในการวิเคราะห์ข้อมูล: การใช้ Likert scales ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย เพราะข้อมูลที่ได้มาสามารถจัดกลุ่มและสรุปเป็นสถิติได้อย่างชัดเจน

  3. ความสามารถในการเปรียบเทียบ: Likert scales สามารถใช้เปรียบเทียบความคิดเห็นระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หรือระหว่างช่วงเวลาต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก

  4. การเก็บข้อมูลที่มีความละเอียด: ด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ผู้ตอบสามารถแสดงระดับความเห็นหรือทัศนคติได้อย่างละเอียดมากกว่าการเลือกตอบแบบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"

ข้อเสียของ Likert Scales

  1. การตอบแบบอัตโนมัติ: บางครั้งผู้ตอบอาจเลือกตอบในลักษณะที่เรียกว่าการ "ตอบแบบอัตโนมัติ" เช่น เลือกตัวเลือกกลางๆ หรือเลือกตามความเคยชิน แทนที่จะพิจารณาคำถามอย่างละเอียด

  2. ข้อจำกัดในความหลากหลายของความคิดเห็น: Likert scales อาจไม่สามารถสะท้อนความคิดเห็นที่มีความหลากหลายหรือซับซ้อนได้ทั้งหมด เนื่องจากการเลือกตัวเลือกมีข้อจำกัด

  3. การวัดที่ไม่แม่นยำเสมอไป: บางครั้งผู้ตอบอาจไม่เข้าใจหรือไม่รู้สึกชัดเจนเกี่ยวกับระดับความเห็นของตนเอง ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลที่ได้มีความไม่แม่นยำ

  4. การบิดเบือนข้อมูล: Likert scales อาจประสบปัญหาการบิดเบือนข้อมูลจากการตอบที่ไม่ตรงตามความจริง เช่น การตอบแบบ "เห็นด้วย" เพียงเพราะต้องการให้คำตอบดูดี หรือความพยายามในการตอบตามที่คาดหวัง

การเลือกใช้ Likert scales ควรพิจารณาข้อดีและข้อเสียเหล่านี้อย่างรอบคอบ เพื่อให้การสำรวจความคิดเห็นมีประสิทธิภาพและสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากที่สุด

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Likert Scales อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก Likert scales เป็นกระบวนการที่สำคัญในการทำความเข้าใจความคิดเห็นและทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถาม เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นมีความแม่นยำและเป็นประโยชน์สูงสุด จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับประเภทของข้อมูลที่ได้รับ

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Likert scales นั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและวัตถุประสงค์ของการศึกษา ในส่วนนี้เราจะสรุปถึงวิธีการหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Likert scales รวมถึงแนวทางที่ดีที่สุดในการนำผลลัพธ์ไปใช้ประโยชน์

ข้อสรุป

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Likert scales เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความรอบคอบและความเข้าใจในเทคนิคการวิเคราะห์ต่างๆ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการเลือกวิธีที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์สูงสุด

การใช้วิธีการที่หลากหลายและการตีความผลลัพธ์อย่างรอบคอบจะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Likert scales มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจและวางแผนในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ