รหัส HTTP คืออะไรบ้าง?

ในโลกของการพัฒนาเว็บไซต์และการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รหัสสถานะ HTTP (HTTP Status Code) ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญในการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ รหัสเหล่านี้ทำหน้าที่บ่งบอกสถานะของการร้องขอ (request) ที่ถูกส่งจากเบราว์เซอร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ และการตอบกลับ (response) ที่เซิร์ฟเวอร์ส่งกลับมา

HTTP Code มักจะถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามลักษณะการตอบสนอง เช่น รหัสสถานะที่บ่งบอกความสำเร็จ (2xx), รหัสที่บ่งบอกการเปลี่ยนแปลง (3xx), รหัสที่บ่งบอกข้อผิดพลาดของการร้องขอ (4xx) และรหัสที่บ่งบอกข้อผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์ (5xx) แต่ละรหัสมีความหมายที่ชัดเจนและสามารถช่วยในการวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการทำงานของเว็บไซต์

ในบทความนี้ เราจะมาดูรายละเอียดของ HTTP Code ที่ใช้บ่อยและความหมายของแต่ละรหัสอย่างละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจถึงวิธีการอ่านและจัดการกับรหัสสถานะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้จักกับรหัส HTTP คืออะไร?

รหัส HTTP (Hypertext Transfer Protocol) คือรหัสสถานะที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ส่งกลับมายังเว็บเบราว์เซอร์เพื่อบอกผลลัพธ์ของคำขอที่ส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ รหัสเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น 1xx (ข้อมูล), 2xx (สำเร็จ), 3xx (การเปลี่ยนเส้นทาง), 4xx (ข้อผิดพลาดของลูกค้า) และ 5xx (ข้อผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์) โดยรหัสเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจถึงสถานะและผลลัพธ์ของการร้องขอจากเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น รหัส 200 หมายถึงคำขอสำเร็จและเนื้อหาถูกส่งกลับอย่างถูกต้อง ขณะที่รหัส 404 หมายถึงไม่พบหน้าเว็บที่ร้องขอ

รหัส HTTP 100-199: ข้อมูลและคำเตือน

รหัสสถานะ HTTP ที่อยู่ในช่วง 100-199 นั้นถือเป็น "รหัสสถานะการตอบกลับเบื้องต้น" (Informational Responses) ซึ่งหมายถึงการตอบกลับที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานะของการร้องขอ โดยปกติแล้ว รหัสในช่วงนี้จะมีการใช้งานในกรณีที่เซิร์ฟเวอร์ต้องการสื่อสารข้อมูลบางอย่างให้กับไคลเอนต์ก่อนที่จะมีการตอบกลับขั้นสุดท้ายรหัสสถานะ HTTP 100: Continueรหัส 100 (Continue) เป็นสัญญาณที่เซิร์ฟเวอร์ส่งกลับไปยังไคลเอนต์เพื่อบอกว่าการร้องขอที่ได้รับมีความถูกต้อง และไคลเอนต์สามารถดำเนินการส่งข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามปกติ รหัสนี้มักจะใช้ร่วมกับการร้องขอแบบ POST หรือ PUT ซึ่งต้องมีการส่งข้อมูลขนาดใหญ่รหัสสถานะ HTTP 101: Switching Protocolsรหัส 101 (Switching Protocols) เป็นการตอบกลับที่บ่งบอกว่าเซิร์ฟเวอร์ยอมรับคำขอของไคลเอนต์ในการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอล ซึ่งมักใช้ในกรณีที่มีการอัปเกรดการเชื่อมต่อ เช่น การเปลี่ยนจาก HTTP เป็น WebSocket เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นรหัสสถานะ HTTP 102: Processingรหัส 102 (Processing) ใช้ในกรณีที่เซิร์ฟเวอร์ได้รับคำขอที่ต้องใช้เวลานานในการประมวลผล เช่น การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลหรือการคำนวณที่ซับซ้อน ซึ่งรหัสนี้ช่วยให้ไคลเอนต์รู้ว่าเซิร์ฟเวอร์กำลังดำเนินการอยู่และยังไม่เสร็จสิ้นรหัสสถานะ HTTP 103: Early Hintsรหัส 103 (Early Hints) เป็นการตอบกลับที่เซิร์ฟเวอร์ส่งให้กับไคลเอนต์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนที่การตอบกลับเต็มรูปแบบจะพร้อมใช้งาน มักใช้เพื่อให้ไคลเอนต์เริ่มการโหลดทรัพยากรที่สำคัญ เช่น CSS หรือ JavaScript ก่อนที่คำตอบหลักจะได้รับรหัสสถานะ HTTP ในช่วง 100-199 มีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้แน่ใจว่าการส่งข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด การทำความเข้าใจรหัสเหล่านี้จะช่วยให้ผู้พัฒนาเว็บสามารถจัดการกับการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ได้ดีขึ้น

รหัส HTTP 200-299: การตอบสนองที่สำเร็จ

รหัส HTTP 200-299 เป็นกลุ่มรหัสสถานะที่แสดงถึงการตอบสนองที่สำเร็จจากเซิร์ฟเวอร์ โดยรหัสเหล่านี้บ่งบอกว่าการร้องขอจากลูกค้าได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นอย่างถูกต้อง ตัวอย่างของรหัสในกลุ่มนี้ ได้แก่:200 OK: แสดงว่าการร้องขอของผู้ใช้ได้รับการประมวลผลสำเร็จ และข้อมูลที่ร้องขอมาถึงผู้ใช้ตามที่คาดหวัง201 Created: ใช้เมื่อมีการสร้างทรัพยากรใหม่สำเร็จ เช่น การเพิ่มข้อมูลใหม่ในฐานข้อมูล204 No Content: แสดงว่าเซิร์ฟเวอร์ประมวลผลคำร้องขอเสร็จสิ้นแล้ว แต่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมส่งกลับมาการตอบสนองที่อยู่ในช่วงรหัสเหล่านี้มีความสำคัญสำหรับการพัฒนาเว็บและการทำงานของ API เนื่องจากเป็นการรับประกันว่าการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์และลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาด.

รหัส HTTP 300-399: การเปลี่ยนเส้นทาง

รหัส HTTP 300-399 ถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงการเปลี่ยนเส้นทางหรือการแก้ไขการร้องขอ โดยแสดงให้ผู้ใช้หรือเบราว์เซอร์ทราบว่าต้องไปยังที่อยู่ใหม่เพื่อให้การร้องขอสำเร็จได้ รหัสที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้คือ:300 Multiple Choices: มีหลายตัวเลือกสำหรับการร้องขอ โดยมักจะใช้เมื่อมีหลาย URI ที่สามารถใช้ได้301 Moved Permanently: บ่งบอกว่าหน้าเว็บที่ร้องขอได้ถูกย้ายไปยังที่อยู่ใหม่ถาวร และเบราว์เซอร์ควรอัปเดตลิงก์302 Found: บอกว่าเนื้อหาชั่วคราวถูกย้ายไปที่อื่น และเบราว์เซอร์ควรใช้ที่อยู่ใหม่ในการร้องขอครั้งเดียว303 See Other: ใช้เพื่อบอกให้เบราว์เซอร์ร้องขอเนื้อหาจากที่อยู่ใหม่โดยใช้วิธี GET304 Not Modified: บ่งบอกว่าเอกสารที่ร้องขอไม่ได้ถูกแก้ไขตั้งแต่การร้องขอก่อนหน้าและเบราว์เซอร์สามารถใช้ข้อมูลเก่าที่มีได้307 Temporary Redirect: บ่งบอกว่าการเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราวไปยังที่อยู่ใหม่โดยการรักษาวิธีการที่ใช้ในการร้องขอ308 Permanent Redirect: เหมือนกับ 301 แต่จะรักษาวิธีการที่ใช้ในการร้องขอการเข้าใจรหัส HTTP เหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการกับการเปลี่ยนเส้นทางเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความชัดเจนมากขึ้น

สรุป: รหัส HTTP 400-599

ในบทความนี้เราได้สำรวจรหัส HTTP 400-599 ซึ่งเป็นรหัสที่บ่งบอกถึงข้อผิดพลาดและปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการสื่อสารระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์และผู้ใช้ รหัสเหล่านี้มีความสำคัญในการระบุและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ผู้ใช้พยายามเข้าถึงเนื้อหาหรือบริการบนเว็บไซต์

โดยทั่วไปแล้ว รหัส HTTP 400-499 เป็นรหัสที่เกี่ยวข้องกับข้อผิดพลาดของผู้ใช้ ขณะที่รหัส HTTP 500-599 เกี่ยวข้องกับข้อผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์ การเข้าใจรหัสเหล่านี้สามารถช่วยให้เราทราบว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ใดและสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง

ข้อสรุปของรหัส HTTP 400-599

  • รหัส 400-499: ข้อผิดพลาดที่เกิดจากความผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การส่งคำขอที่ไม่ถูกต้อง หรือการขาดข้อมูลสำคัญ
  • รหัส 500-599: ข้อผิดพลาดที่เกิดจากปัญหาที่เซิร์ฟเวอร์ ไม่สามารถดำเนินการคำขอได้ เนื่องจากปัญหาภายในเซิร์ฟเวอร์

การเข้าใจรหัส HTTP เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการระบุปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังช่วยในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ การตรวจสอบและจัดการข้อผิดพลาดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น